เรารักพระเจ้าอยู่หัว เพราะพระเจ้าอยู่หัวรักประชาชน
ภายใต้ภาพลักษณ์แข็งแกร่งสุดในปฐพี “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ทรงมีน้ำพระราชหฤทัยแสนอ่อนโยน ทรงพิสูจน์พระองค์ให้เห็นแล้วว่า ทรงเป็น “กษัตริย์ที่ไม่เคยละทิ้งประชาชน” การคืนความสุขสงบให้ประชาชน และลดความเหลื่อมล้ำในสังคม เพราะเราทุกคนคือคนไทยเหมือนกัน ถือเป็นหนึ่งในพระราชภารกิจสำคัญ โดยทุกครั้งที่เกิดวิกฤตการณ์, ความสูญเสียครั้งใหญ่ ภัยพิบัติทางธรรมชาติ และเหตุการณ์สะเทือนขวัญในชาติบ้านเมือง “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ไม่เพียงแต่จะพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ช่วยเหลือประชาชนทันที แต่ยังทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานขวัญกำลังใจ ตลอดจนติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมพระราชทานพระบรมราโชบายแก่หน่วยงานต่างๆ เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ให้คลี่คลายโดยเร็วที่สุด
เหตุการณ์สะเทือนขวัญกราดยิงทำร้ายเด็กและประชาชนที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กองค์การบริหารส่วนตำบลอุทัยสวรรค์ จังหวัดหนองบัวลำภู เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2565 ทำให้มีเด็กเสียชีวิตและผู้ได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก ไม่เพียงจะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ “พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์” ประธานองคมนตรี และคณะองคมนตรี ไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บทุกรายโดยทันที แต่ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว” และ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี” ยังเสด็จฯเป็นการส่วนพระองค์ไปทรงเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ความรุนแรง ที่โรงพยาบาลหนองบัวลำภู และโรงพยาบาลอุดรธานี พร้อมพระราชทานขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ร้ายแรงดังกล่าว โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับผู้ได้รับบาดเจ็บไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์ รับศพผู้เสียชีวิตไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ และพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ
“วันนี้มาเยี่ยมเยียนและมาให้กำลังใจ รู้สึกเสียใจรู้สึกเศร้าสลดมากที่มีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น มีความรู้สึกร่วมในความเศร้าโศกเสียใจ ก็ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไรให้เข้าใจ ก็มีความรู้สึกร่วมเป็นเหตุที่ไม่ดีเกิดขึ้น ถ้าเกิดมีอะไรเดือดร้อนลำบากก็จะให้ความสะดวกช่วยเหลือดูแล ขอแสดงความเสียใจ และคงไม่มีคำไหนมาแทนคำว่าเสียใจได้ ก็ขอให้กำลังใจกับพวกเราที่จะเข้มแข็งเพื่อให้วิญญาณน้องๆเขามีความสบายใจว่าญาติและครอบครัวจะอยู่ได้อย่างเข้มแข็งมีชีวิตต่อไป เมื่อถึงเวลาก็จะได้มีการสวดมนต์และมีการทำบุญเพื่อให้อุทิศส่วนกุศลให้น้องๆที่จากไป ในเวลาเดียวกันก็จะได้เป็นการบำรุงขวัญกำลังใจของพวกเรา ก็เสียใจที่เรื่องร้ายมันเกิดแต่มันก็เกิด ตอนนี้จะทำยังไงให้ดีที่สุดเท่าที่ดีได้ เพื่อจะได้ให้มีกำลังใจกันต่อไป”
เช่นเดียวกับเหตุการณ์กราดยิงสุดสลดในห้างสยามพารากอน เมื่อปลายปี 2566 “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯรับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดไว้เป็นคนไข้ในพระบรมราชานุเคราะห์
ย้อนกลับไปในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 ทรงห่วงใยในสุขภาพและพลานามัยของพสกนิกรชาวไทยยิ่ง นอกจากจะพระราชทานขวัญและกำลังใจให้ประชาชนคนไทย ยังทรงนำพาคนไทยและประเทศไทยก้าวผ่านวิกฤติโควิด-19 ไปด้วยดี โดยพระราชทานพระบรมราโชบายในการดำเนินมาตรการต่างๆอย่างใกล้ชิด เพื่อควบคุมยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย และเมื่อทรงคาดการณ์ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะไม่จบลงในเร็ววัน ก็ได้พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์สมทบทุนจัดหาอุปกรณ์การแพทย์ให้กับโรงพยาบาลและสถานที่ต่างๆ เพื่อใช้ในการรับมือและยับยั้งการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในประเทศไทย อีกทั้งยังมีพระราชดำริให้จัดทำ “ถุงพระราชทานกำลังใจ” เป็นตัวแทนสายธารความรักความห่วงใยส่งไปถึงประชาชนคนไทย ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทั่วประเทศ ที่ร่วมปฏิบัติหน้าที่อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อดูแลรักษาผู้ป่วยโควิด-19
ยามใดที่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าขอให้นึกถึงพระราชดำรัสล้ำค่าของ “ในหลวง รัชกาลที่ 10” ที่พระราชทานไว้อย่างน่าซาบซึ้งใจ...“อย่างที่บอกว่าประชาชนมีความสุข ประเทศมีความมั่นคง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ปัญหาต้องมี อุปสรรคต้องมีเสมอ แต่ถ้าเรามีความมั่นคงมีความอยากให้ประชาชนมีความสุข มีทัศนคติที่ดี ประชาชนก็มีความสุข พวกเราก็มีความสุข เพราะเราก็คือประชาชน...ความสุขในตัวเริ่มจากใจและทัศนคติที่ดีต่อผู้อื่น ส่วนรวม และตนเอง สุขในการบำเพ็ญประโยชน์ให้ผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการเข้าใจและเห็นใจผู้อื่น สุขในการให้ ทั้งกำลังกาย กำลังใจ ให้ผู้อื่นและส่วนรวมมีสุข สุขในการพัฒนาร่างกาย จิตใจ และปัญญา ในทางสร้างสรรค์ความเจริญให้ตนเองและผู้อื่น”
พระราชดำรัสดังกล่าวสะท้อนได้ดีถึงพระราชหฤทัยอันอ่อนโยน ที่ทรงปรารถนาให้บ้านเมืองของเราเป็นบ้านแสนสุข ที่มีความร่มเย็นและมั่นคง ประชาชนชาวไทยมีความสุขความเจริญทั่วหน้า โดยมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นที่พึ่งให้แก่ประชาชนและสังคมได้
ทรงถือเป็นพระมหากษัตริย์ยุคใหม่ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในการทลายกำแพงหัวใจของประชาชน จนกลายเป็นต้นแบบของราชวงศ์โลกยุคผลัดใบ “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10” ไม่เพียงจะทรงรวมพลังพระบรมวงศานุวงศ์น้อยใหญ่ของไทย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่เสริมฐานรากที่มั่นคงขึ้นให้กับสถาบันกษัตริย์ไทย แต่ยังทรงสร้างปรากฎการณ์ครองใจมหาชน โดยใช้ความจริงใจเป็นอาวุธลับทลายกำแพงระหว่างสถาบันกษัตริย์กับประชาชน
นับเป็นอีกหนึ่งหน้าประวัติศาสตร์ที่ต้องบันทึกไว้ เมื่อพสกนิกรสวมใส่เสื้อเหลืองมาเฝ้าฯรับเสด็จอย่างเนืองแน่น หน้าพระบรมมหาราชวัง เมื่อวันปิยมหาราช 23 ตุลาคม 2563 หลังเสร็จสิ้นพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียง “ในหลวงสู้สู้” สลับกับเสียงถวายพระพรกึกก้อง “ทรงพระเจริญ” เพื่อส่งมอบกำลังใจถึงกษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่ง “ในหลวง รัชกาลที่ 10” นำทีมพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งครอบครัว ทรงพระดำเนินเยี่ยมราษฎรกลางสายฝน โดยทรงแย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนที่มาเฝ้าฯรับเสด็จตลอดสองฟากถนนหน้าพระบรมมหาราชวัง
อีกครั้งระหว่างเสด็จฯไปทรงเป็นองค์ประธานในกิจกรรมอบรมผู้นำเยาวชนจิตอาสา ค่าย LOVE camp ณ ศูนย์ฝึกโรงเรียนจิตอาสา 904 บางเขน เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2563 แม้จะเป็นถึงกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ แต่ทรงยอมรับว่าเหนื่อยและท้อ ต่อหน้าเยาวชนไทยรุ่นใหม่ที่ทูลถามว่า “ทรงท้อบ้างหรือไม่ที่มีแต่ข่าวไม่ดีข่าวโกหกมากมาย” พระองค์มีรับสั่งตอบว่า...“เป็นเรื่องธรรมดาของทุกคนที่จะเหนื่อย หรือท้อ หรือเสียใจ แต่เราต้องไม่ปล่อยให้ความรู้สึกด้านลบเหล่านี้ฉุดรั้งให้เราหยุดทำงาน หยุดทำหน้าที่ หรือหยุดทำสิ่งดีๆเพื่อชาติบ้านเมือง”
เมื่อเยาวชนที่เคยขอพระราชทานถ่ายรูปเซลฟี่กับพระองค์ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 กราบทูลว่า “มีข่าวลือข่าวใส่ร้ายพระองค์เยอะแยะทางโซเชียลมีเดีย และกระหม่อมเองก็เคยคิดลบกับพระองค์ จนในชีวิตมีโอกาสได้พิสูจน์ที่สนามหลวง จึงได้รับรู้ถึงพระเมตตาของพระองค์ที่ทรงมีต่อเยาวชนไทย”
“ในหลวง รัชกาลที่ 10” ทรงยืนกรานว่า พระองค์ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเอง...“ข่าวดีก็มี ได้ข่าวไม่ดีก็มีได้ พวกเราต้องไปแยกแยะกันเองว่าอะไรเป็นข่าวดี หรือข่าวไม่ดี ไอ้เราก็ไม่ได้เคยโฆษณาตัวเองว่าดี หรือไม่ดี มันก็อยู่ที่พวกเราทุกคนตัดสินเอาเอง แต่สิ่งที่ขอก็คือขอให้เราชั่งใจให้ดีเป็นใช้ได้ ได้รับข่าวดีก็ต้องถามว่าอะไรมันดี ข่าวลบมันไม่ดีก็ต้องดูว่ามันจริงหรือไม่ ก็เป็นของธรรมดา ตั้งแต่สมัยเป็นสมเด็จพระบรมฯมา ก็มีข่าวไม่ดี แม้แต่เป็นใครก็ต้องพูดดีบ้างไม่ดีบ้าง เป็นของธรรมดา เราไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ตัวเองในเรื่องใดๆทั้งนั้น ก็คนที่อยู่ก็เป็นคนตัดสินพิสูจน์เอาเองว่าเราดีหรือไม่ดี เด็กรุ่นใหม่ๆก็ดูเอาเอง แต่ขอให้เราเป็นเด็กดี เป็นคนดี เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ ก็สบายใจแล้ว...”
ขณะที่เด็กชาวม้งกราบทูลพระองค์แบบกลั้นน้ำตาไม่อยู่ว่า “หนูได้ยินคนพูดว่าเมื่อ ร.9 สวรรคต ม้งจะไม่มีที่อยู่ ร.10 จะให้ม้งออกไปจากประเทศให้หมด หนูกลัวมาก กลัวว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ กลัวว่าจะไม่มีที่ไป ไม่ได้เรียนหนังสือ แต่หลายปีผ่านไป ร.10 ก็ไม่เคยไล่ พวกเราทุกคนสบายดี แล้วในหลวงก็ยังให้หนูเรียนหนังสือด้วย” พระองค์ตรัสให้กำลังใจว่า “ในแผ่นดินนี้ ไม่ว่าจะเชื้อชาติใด เราทุกคนคือคนไทย ประเทศเราไม่เหมือนชาติอื่นใดในโลก เรารักกัน เราช่วยเหลือเอื้อเฟื้อแบ่งปันกัน และในหลวงจะไม่มีวันทิ้งคนไทย พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์จะทำทุกอย่างเพื่อคนไทย ขออย่าได้กังวล”
กาลเวลาได้พิสูจน์แล้วถึงน้ำพระราชหฤทัยยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ยุคใหม่ผู้ครองใจมหาชน!!